ต้องขออภัยอีกรอบที่ทิ้งช่วงไปนาน ไม่ได้อัพเดทนะครับ ช่วงนี้ผมค่อนข้างยุ่งจริงๆ กลับบ้านดึกทุกวันเลยไม่ได้มาปั่นให้อ่านภาคจบกันซักที ตอนนี้ก็ขอเป็นบทเสริมภาค 3 ก่อน แล้วตอนหน้าก็เป็นภาคจบของจริงแล้วนะครับ ภาคนี้สั้นนิดเดียวครับ เพราะไม่มีอะไรมาก เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
บทเสริมของตามล่า iPhone สุดขอบเมืองด้วย Find My iPhone ภาค 3
ในภาค 3 นี้ผมเล่าไว้ค่อนข้างละเอียดอยู่ แต่อยากเสริมนึดเดียว 3 เรื่องพอ เพราะไหนก็ๆ เสริมมาทุกภาคแล้ว ภาคนี้ไม่เสริมเลยก็กระไรอยู่ 🙂
เรื่องแรก: วันที่ 10 กันยายน 2552 หลังจากที่ผมจับสัญญาณได้ว่าเครื่องอยู่ที่เดอะมอลล์ ผมก็ไปตามหาทันที แล้วทีนี้ไอเครื่องที่หายไปเนี่ย ตอนก่อนหายได้ติดฟิลม์แบบกระจกและหุ้มซิลิโคนสีส้มไว้ ปรากฎว่าระหว่างที่เดินๆ หาอยู่ตามร้านนั้น ไปเจออยู่ร้านนึงมีเครื่องฟิลม์กระจกแต่ไม่มีซิลิโคน ผมกับน้องชายคนกลางก็รีบขอดูทันที ตรวจสอบภายนอกก็พบว่าเป็น iPhone 3G 8GB จากนั้นผมก็กดเปิดเครื่อง ปรากฎว่า…ไม่ติดครับ แบตหมด ผมจึงเนียนทำเป็นขอดูเครื่องอื่นที่เป็น iPhone 3G 8GB ด้วย (แต่เครื่องอื่นติดฟิลม์ใสปกติ) แล้วก็ทำเป็นว่าชอบสภาพเครื่องของเครื่องฟิลม์กระจกมาก อยากจะขอลองเครื่องให้ได้ ก็เลยขอที่ชาร์จเขามาลองเสียบดู เพื่อจะเปิดเครื่องและแอบตรวจสอบ IMEI ได้ ทางร้านก็ใจดีหยิบที่ชาร์จมาเสียบให้ทันที
หลังจากชาร์จแบตได้แป๊บนึง ผมก็กดเปิดเครื่องทันทีด้วยความหวังว่า IMEI มันต้องตรงแน่ๆ หน้าตามันออกจะใช่ขนาดนี้ ปรากฎว่ายังเปิดไม่ติดครับ! สงสัยจะเป็นอาการแบตหมดเกลี้ยง ตรงนี้ท่านใดที่เคยใช้ iPhone อาจจะเคยประสบเหตุการณ์นี้มาบ้างว่าถ้ามันแบตหมดเกลี้ยง จะต้องชาร์จทิ้งไว้ซักพักก่อนถึงจะเปิดติด
ระหว่างที่รอนั้น ผมก็ชวนร้านคุยเรื่อยเปื่อย รวมๆ แล้วเป็นเวลากว่า 10 นาที เครื่องก็ยังเปิดไม่ติด จนร้านเค้าเชียร์ให้เอาเครื่องอื่นแทนดีกว่า (สงสัยจะรำคาญผม อิอิ) ผมกับน้องเลยทำทีขอตัวไปห้องน้ำก่อนเพื่อซื้อเวลาหน่อย พอผมกับน้องเดินลับตาร้านมาก็มาคุยปรึกษากันว่ามันจะใช่เครื่องที่เราหามั๊ย ? เพราะภายนอกมันดูใช่มากๆ แถมแบตหมดเกลี้ยงอีก เพราะคนที่ขโมยไปก็คงไม่มีที่ชาร์จอยู่แล้ว ทิ้งไว้ตั้งหลายวันก่อนมาขาย แบตไม่หมดเกลี้ยงก็แปลก แต่ก็มีข้อสงสัยนิดตรงที่ว่า แล้วไอร้านมันรับซื้อมาได้ยังไงถ้าแบตหมดขนาดนั้น เค้าไม่เช็คเครื่องก่อนซื้อมาเลยเหรอ?
หลังจากคุยกันเองอยู่ประมาณ 5 นาที น้องผมก็ใจร้อน โทรเรียกสารวัตรเจ้าของคดีมาทันที กะว่าใช่ร้านนี้แน่ๆ จะได้ให้ตำรวจคุยและสืบคดีต่อเลย โดยไม่ฟังคำท้วงของผมว่ารอเปิดเช็คเครื่องก่อน ถ้า IMEI ตรงค่อยเรียกก็ได้ หลังจากน้องผมคุยกับสารวัตรเสร็จ (โดยที่ผมไม่ค่อยเห็นด้วย) ก็รู้สึกได้ว่าเราทำเป็นมาห้องน้ำกันนานมากแล้ว เดี๋ยวที่ร้านจะสงสัยว่าหายไปนาน ก็เลยพากันเดินกลับไปที่ร้าน
รวมๆ เวลาที่ชาร์จแบตมาก็น่าจะราวๆ 20 นาทีได้ พอผมมาถึงร้านปุ๊บ ผมก็ขอเค้าเปิดเครื่องทันทีด้วยความตื่นเต้น! แต่…มันก็ยังเปิดไม่ติด เจ้าของร้านก็คงเริ่มสงสัยว่าทำไมเปิดไม่ติด จึงได้ไปเรียกเพื่อนอีกร้านมาซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ iPhone ประจำห้างนั้น พอเค้ามาถึงก็พยายามเปิดเครื่อง กดนู่นกดนี่กดไปกดมาอยู่ประมาณ 5 นาที ในที่สุดเครื่องก็เปิดติดจนได้ ผมกับน้องตื่นเต้นมาก รีบขอเครื่องมาดูทันที ผมก็รีบเข้าเช็ค IMEI ในบันดล ปรากฎว่าเลขไม่ตรง…. ตอนนั้นนี้อารมณ์ผิดหวังมากครับ แต่ก็ต้องฝืนยิ้มเล่นละครเนียนตาร้านต่อไป โดยผมก็ทำทีเป็นต่อราคา และก็ขอเดินสำรวจร้านอื่นก่อนตามระเบียบ แล้วก็ออกจากร้านมา (สรุปอยู่ตรงร้านนี้ครึ่งชั่วโมงได้)
หลังจากนั้นผมก็เดินสำรวจร้านอื่นต่อจนกระทั่งสารวัตรเจ้าของเรื่องมา น้องผมก็ไปคุยกับสารวัตรบอกว่าสรุปยังไม่พบเครื่อง เป็นการเข้าใจผิด ทำให้สารวัตรท่านนั้นอารมณ์เสียและกลับสน.ไป..
เรื่องที่สอง: อยากบอกว่าคุณปุ๊กนั้นนอกจากจะซวยเรื่องซื้อเครื่องถูกขโมย แล้ว ยังลำบากเรื่องเปลี่ยนแปลงตารางการเดินทางด้วย เพราะหลังจากที่ผมติดต่อคุณปุ๊กได้ในคืนวันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน 2552 และได้อธิบายกันจนคุณปุ๊กรับรู้ว่าเป็นเครื่องถูกขโมยแล้ว คุณปุ๊กก็มีน้ำเสียงกระวนกระวายมาก ซึ่งทำให้ผมชื้นใจมากว่าเจอคนดีแล้ว ถ้าไปเจอคนนิ่งๆ ไม่สนใจจะร่วมมือด้วย ผมคงไม่ได้เครื่องคืนง่ายๆ แน่
ตอนนั้นผมก็ใจร้อนอยากจะนัดเจอคุณปุ๊กโดยไว อยากจะเจอกันในวันรุ่งขึ้น หรือวันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2552 เลย แต่คุณปุ๊กบอกว่าในวันรุ่งขึ้นนั้นมีกำหนดการต้องเดินทางไปต่างประเทศ ขอกลับมาจัดการเรื่องในวันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2552 ได้มั๊ย ผมได้ยินดังนั้นผมก็ไม่มีทางเลือก ก็เลยขอเบอร์ติดต่อไว้พร้อมกับตอบตกลงไป
ขณะที่ผมถึงบ้าน คุณปุ๊กก็โทรมาหาพร้อมกับบอกว่าเค้าอยากจะจัดการเรื่องให้เสร็จๆ ไป เพราะไม่ชอบให้มีเรื่องแบบนี้คาใจ จึงได้บอกผมว่าเดี๋ยวจะโทรไปทำการเลื่อนวันเดินทางออกไป แล้วตอนเช้าจะบอกผมอีกทีว่าเลื่อนได้หรือไม่ สุดท้ายคุณปุ๊กก็เลื่อนได้ (ทำเอาผมเกรงใจเลยทีเดียว) และก็ได้นัดเจอกับผมที่ห้างเดอะมอลล์งามวงศ์วานเพื่อจัดการเรื่องนี้ให้จบๆ ไปซึ่งเป็นตอนจบในภาค 3 นั่นเอง
เรื่องที่สาม: ในวันที่ 11 กันยายน 2552 ซึ่งเป็นวันดีเดย์ที่ผมกับคุณปุ๊กไปลุยเดอะมอลล์กันเพื่อจะเคลียร์คดีนี้ นั้น ผมก็ทำการติดต่อท่านสารวัตรให้มาด้วยเพื่อจะได้เป็นคนคุยกับทางร้าน แต่ท่านสารวัตรปฎิเสธที่จะมาเนื่องจากไม่เชื่อว่าผมตามเจอเครื่องแล้วจริงๆ บอกว่าจะส่งสายตรวจมาดูแลให้แทน (เป็นผลจากวันที่ 10 ที่น้องชายผมใจร้อน)
ก็ขอจบบรรดาภาคเสริมทั้งหมดเพียงเท่านี้ครับ ตอนต่อไปที่จะอัพเดทก็คงจะเป็นภาค 4 ตัวจริงแล้วนะครับ โดยภาค 4 นี้จะเริ่มเรื่องตั้งแต่ตอนเดินไปที่ร้านพร้อมๆ กันหมดทั้งผม คุณปุ๊ก และคุณตำรวจสายตรวจครับ ติดตามอ่านได้ที่นี่เช่นเดิม หรือติดตามข่าวสารอัพเดทได้ที่ http://twitter.com/Bankja นะครับ