ภาคจบแห่งมหากาพย์ตามล่า iPhone สุดขอบเมืองก็ได้ฤกษ์คลอดแล้วในที่สุดครับ ก่อนที่จะเข้าเรื่องผมขอเล่าอะไรสั้นๆ ก่อนนะครับ
ก่อนอื่นคงต้องขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ให้ความสนใจในการติดตาม iPhone ของผมนี้ ถึงแม้ Comment จะน้อย แต่จากการที่ได้พูดคุยกับหลายๆ ท่านในช่วงหลายเดือนมานี้พบว่ามีคนได้อ่านมากพอสมควร ที่ผมตลกที่สุดคือมีรุ่นน้องที่ผมรู้จักคนนึง รู้จักมาได้ซักพักแล้วล่ะ เจอกันบ่อยพอประมาณ ทุกทีที่เจอกันก็คุยเล่นกันตามภาษาไร้สาระอยู่เสมอ แต่มาวันนึงเค้าก็ถามผมโดยที่เหมือนจะไม่อยากถามว่า “พี่แบงค์ๆ เมื่อไหร่จะเขียนภาค 5 ต่อ ว่าจะไม่ถามแล้ว แต่อดไม่ได้” พอผมได้ยินคำถามก็ผมถึงกับหัวเราะปนดีใจว่าเค้าอ่านเรื่องราวของเราด้วยเหรอนี่ พอได้สอบถามเพิ่มก็ได้ความว่าเขาอ่านมานานแล้ว แต่ไม่ได้บอกเรา เอิ๊กๆ เอาล่ะเริ่มกันเลยดีกว่า
หลังจากที่ผมได้รับโทรศัพท์จากทางร้าน B และได้ทราบถึงตัวคนที่ขโมย iPhone ไปนั้นว่าเป็นใคร ร้าน B ก็ถามผมต่อว่าพอจะรู้มั๊ยว่าเด็กคนที่ขโมยไปนั้นพักที่ไหน เขาอยากจะไปคุยกับเด็กเพื่อที่จะได้รู้ว่าควรทำอย่างกันต่อไปดี ผมก็บอกว่าผมรู้ เพราะว่าเคยไปที่พักของเด็กคนนั้นมาแล้ว ร้าน B จึงขอนัดพบผม เพื่อให้ผมนำทางไป โดยตอนแรกจะนัดเย็นวันที่โทรมาเลยด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากผมติดธุระ เลยขอนัดเป็นอีก 3 วันถัดมา เวลา 14.00 แทน
3 วันผ่านไป เป็นวันที่ 17 กันยายน 2552 ผมก็ได้ติดต่อกับร้าน B ว่าขอนัดพบที่ปั๊มน้ำมันแห่งนึงในบริเวณใกล้กับที่พักของเด็กที่ขโมยไป (บอกตรงๆ ว่าตอนนั้นผมก็กลัวเหมือนกันว่านี่เป็นแผนการอะไรซักอย่างรึเปล่า ก็เลยพยายามนัดในที่ที่มีคนหน่อย) พอใกล้ถึงเวลานัด ทางร้าน B และญาติที่เป็นตำรวจ (ยาวเกิ๊น ขอเรียกสั้นๆ ว่า จ่าอ้วน ละกันนะครับ) ก็ไปถึงสถานที่นัดพบก่อนผมพอสมควร (ผมตั้งใจไปสาย เพื่อจะได้ไม่เป็นเป้านิ่ง ไม่รู้คิดมากไปป่าวตรู)
ผมไปถึงสายประมาณครึ่งชั่วโมงได้ พอไปถึงก็คุยกันอยู่แป๊บนึง ผมก็เริ่มเบาใจว่าคงไม่ใช่แผนการหลอกอะไรผม เพราะเค้ามีกระดาษที่พิมพ์รูปถ่ายมาด้วย ผมจึงอุ่นใจ และนำทางต่อไปยังที่พักของเด็กที่ขโมยไป
ขับจากปั๊มน้ำมันที่เป็นจุดนัดพบไม่ถึง 3 นาที ก็ถึงจุดหมายของเรา ผมว่าถึงตรงนี้คงมีหลายคนเดาถูกแน่นอนว่าคือที่ไหน สถานที่จุดหมายที่เป็นที่พักของเด็กที่ขโมยไปนั้น ก็คือหอพักของเพื่อนของเพื่อนที่น้องชายผมไปนอนค้างเมื่อคืนที่ iPhone หายนั่นเอง!!
หลังจากจอดรถกันเรียบร้อย จ่าอ้วนก็ให้ผมโทรติดต่อกับคุณพี่สาวที่เป็นเจ้าของห้องทันที โดยยังไม่ให้ผมบอกอะไรมาก ให้บอกแค่ว่าอยากมาคุยด้วยเฉยๆ ไม่ต้องบอกว่ามีตำรวจมา พอนัดแนะกันเสร็จ ผมก็ทำการโทรศัพท์ไปหาคุณพี่สาวเจ้าของห้องทันที รอซักพักเธอก็รับสายขึ้นมาด้วยความงงว่า ใครโทรหาตูฟะ ผมจึงท้าวความอยู่ซักแป๊บ เธอก็จำได้ พร้อมกับน้ำเสียงเธอที่เปลี่ยนไปทันที ผมอธิบายว่าเนื่องจากมีหลักฐานเพิ่มเติม เลยอยากมาคุยขอข้อมูลเพิ่ม เธอก็อ้างว่าตอนนี้มานวดอยู่ข้างนอก เดี๋ยวไว้ตอนเย็นๆ จะกลับไปคุยด้วย (น้ำเสียงแบบไม่สะดวกใจเท่าไหร่) ผมก็ตกลงตามที่เธอว่า
หลังจากวางสาย ผม จ่าอ้วน และร้าน B จึงหาร้านอาหารแถวนั้นนั่งกินโค้กไปพลางๆ คุยกันพลาง ทำความรู้จักกันมากขึ้น หลังจากที่คุยกันไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มีโทรศัพท์จากคุณพี่สาวเข้ามาหาผม ผมก็รีบรับสายทันที เธอก็ถามผมด้วยน้ำเสียงกลัวๆ ว่ามากันกี่คน ผมก็ตอบไปว่า 3 เธอก็ถามต่อว่ามีตำรวจมาด้วยรึเปล่า ผมก็บอกไปตามตรงว่ามี แต่ไม่ได้มาในนามตำรวจ เค้าแค่อยากมาคุยด้วยเฉยๆ แล้วก็ถามว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนกัน ผมก็บอกว่าอยู่ร้านอาหารฝั่งตรงข้ามนี่แล จะลงมาคุยกันที่นี่มั๊ย เธอก็บอกว่าให้ขึ้นไปที่ห้องดีกว่า เค้าไม่อยากให้ใครเห็นหรือได้ยินที่คุยกัน พร้อมกับอนุญาตให้ผมและคณะขึ้นไปที่ห้องได้แล้วก็วางสายไป
ผม จ่าอ้วน และร้าน B จึงรีบเช็คบิล แล้วก็ขึ้นไปหาที่ห้องทันที แต่ก่อนที่จะขึ้นไปได้ก็ติดระบบคีย์การ์ดอยู่ด้านล่างหอ ไม่สามารถเข้าไปในหอได้ สรุปพวกผม 3 คน (เป็นตำรวจด้วย 1 คนนะ) ต้องยืนรอจนมีคนออกจากหอ แล้วจึงรีบวิ่งไปจับประตูไม่ให้ปิด เพื่อที่จะแอบขึ้นไป (ฮา)
พอขึ้นไปถึงที่ห้องพัก ผมก็เคาะประตู ด้านในก็มีเสียงโวยวายเล็กน้อยก่อนที่ประตูจะเปิด พอเปิดเข้าไป เด็กผู้หญิงในห้องคนนึงก็ยกมือไหว้ร้าน B ทันที ผมก็งงว่ารู้จักกันหรืออย่างไร ปรากฎว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ก็คือคนเดียวกับที่นำเครื่อง iPhone ของน้องผมไปขายที่ร้าน B นั่นเอง
ในห้องขณะนั้นมีกันอยู่ 3 คน คือพี่สาวเจ้าของห้อง เด็กผู้หญิงคนนึง และก็น้องชายเจ้าของห้อง หรือเด็กคนที่ขโมยเครื่องไปนั่นเอง รวมกับผมอีก 3 คนเป็น 6 คน บรรยากาศในห้องขณะนั้นอึมครึมมากๆ พี่สาวเจ้าของห้องกำลังร้องไห้พร้อมกับดุด่าว่าน้องชายของตัวอยู่ด้วยความเสียใจ
ผม กับร้าน B ก็มอบหน้าที่ให้จ่าอ้วนเป็นคนคุย จ่าอ้วนก็พยายามสอนเด็กว่าสิ่งที่ทำนั้นมันไม่ดี ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน (ต้องขออภ้ยส่วนตรงนี้ด้วย ผมจำได้แต่บริบทครับ จำไม่ได้ละเอียดว่าคุยอะไรบ้าง) โดยระหว่างที่สอนเด็ก พี่สาวก็พยายามจะตีน้องชาย พร้อมกับด่าอยู่เป็นระยะๆ จ่าอ้วนก็พยายามปลอดพี่สาวพร้อมกับสอนเด็กไปพร้อมๆ กัน นาทีนั้นผมสงสารผู้เป็นพี่สาวมาก โดยตั้งแต่เริ่มเข้าไปในห้องจนถึงตรงนี้ เด็กคนที่ขโมยไปนั้นยังไม่ยอมเปิดปากพูดเลยซักคำ จะมีปฏิกริยาก็แค่พยักหน้าอย่างเดียวเท่านั้น จ่าอ้วนจึงได้ถามถึงว่าที่ขโมยไปขายเนี่ย เอาเงินไปทำอะไร คำตอบที่ได้ก็คือเอาไปกินไปซื้อของให้แฟน (เด็กผู้หญิงในห้อง) หมดแล้ว ผมจึงถามเด็กผู้หญิงคนนั้นว่ารู้รึเปล่าว่าโทรศัพท์ที่เอาไปขายนั้นเป็นเครื่องที่ขโมยมา เด็กผู้หญิงก็บอกว่าไม่รู้ (เชื่อได้รึเปล่าก็ไม่รู้)
พอพี่สาวเริ่มเย็นลง พี่สาวก็เล่าว่าเค้าสงสัยมมาได้ซักพักแล้วว่าน้องเค้าเป็นคนขโมยไป เพราะหลังจากวันที่เกิดเรื่องนั้นไม่กี่วัน เค้าก็พบ iPhone case สีส้มอยู่ในห้องเค้า เค้าก็ถามน้องชายว่าไปได้มายังไง น้องเค้าก็บอกเค้าว่าเพื่อนมาลืมเอาไว้ และพอเล่าจบคุณพี่สาวก็ขอร้องผม และร้าน B ว่าอย่าเอาเรื่องน้องชายเค้าเลย เห็นแก่อนาคตของน้องเค้าด้วย ส่วนเรื่องเงินเดี๋ยวจะชดใช้ให้เอง ด้วยความสงสาร + ไม่อยากให้เรื่องมันยาว ผมและร้าน B จึงตกลงกันตามนั้น แต่ใจผมก็อยากจะให้โอกาสเด็กจริงๆ นะครับตอนนั้น ด้วยความเชื่อที่ว่า “ทุกคนเป็นคนดีเท่ากัน เพียงแต่ต้องอาศัยเวลาและความเข้าใจที่ต่างกัน” หลังจากตกลงกันได้ก็แยกย้ายกันกลับ โดยระหว่างขับรถกลับ คุณพี่สาวก็โทรมาขอร้องผมอีกรอบเรื่องน้องชายของเค้า ผมก็รับปากเป็นมั่นเหมาะ โดยมีเงื่อนไขที่ว่า อย่าให้ผมรู้ว่าน้องคุณทำเรื่องแบบนี้อีก…
พอกลับถึงบ้าน ผมก็นึกถึงคุณปุ๊กได้ ไม่รู้ว่าเธอได้เงินคืนจากร้าน A รึยัง ผมจึงโทรไปสอบถาม และเล่าให้ฟังในสิ่งที่ผมผ่านมาวันนี้ เธอก็บอกว่าเธอได้รับเงินจากร้าน A เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ก็ทำเอาผมโล่งใจ และก็ทำให้เรื่องนี้จบลงแบบ Happy Ending ครับ ไม่มีใครต้องสูญเสียทรัพย์สินอะไร จะมีก็คงมีแต่ความรู้สึกของพี่สาวที่เสียไปกับน้องชายของเธอเอง
จบแล้วครับ สำหรับตามล่า iPhone สุดขอบเมือง ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะครับ ภาคนี้อาจจะสั้นๆ ห้วนๆ เล็กน้อยนะครับ หวังว่าท่านผู้อ่านคงไม่ว่ากัน แล้วไว้ผมจะพยายามเขียนบทความดีๆ เป็นความรู้ใหม่ๆ มาฝากท่านผู้อ่านทุกคนนะครับ ติดตามอัพเดทได้ทาง Twitter ของผม @Bankja เช่นเคยครับ (ทวีตแบบมีสาระบ้าง ไร้สาระบ้าง)
ทิ้งท้ายอีกนิดว่าในตอนแรกเรื่องนี้คงไม่ได้มาเล่าบอกต่อๆ กัน ถ้ามันไม่ใช่เพราะการได้เครื่องคืนด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย และผมอยากเสริมว่ากรณีของผมนั้นถือว่าเป็นโชคมากกว่าฝีมือนะครับ ฉะนั้นการดูแลรักษาเครื่องโทรศัพท์ของท่านไว้ให้ดี อย่าให้หายเป็นสิ่งสำคัญ และพึ่งพาได้มากที่สุดครับ
@Bankja